Aglia, Akyaw.
ตคร (จีน) ติ่มเฮียง (ไม้หอมที่จมน้ำ)
ประวัติ
4 อย่าง เรียกว่า จตุชาติสุคนธ์ ที่ใช้เผาและประพรมในพิธีกรรมต่างๆ เป็นเครื่องประทินผิว และใช้เข้าเครื่องยาหอมมาแต่อดีต
รวมทั้งส่งเสริมเป็นเครื่องราชบรรณการและเป็นสินค้าส่งออกที่ขึ้นชื่อของสยามถึงขนาดพระเจ้ากรุงสยาม คือ พระนารายณ์มหาราช
ได้โปรด ให้ผูกขาดการค้าไม้กฤษณาให้ซื้อขายจากหลวง และได้ผูกขาดต่อเนื่อง ทำรายได้แก่ประเทศชาติมาหลายยุคหลายสมัย
เพิ่งมายกเลิกในสมัยรัชกาลที่ 4 ทำให้ไม้กฤษณาถูกลักลอบโค่นลงเป็นจำนวนมาก เพื่อนำแก่นไม้หอม อันมีราคาสูงไปจำหน่ายยัง
ประเทศกลุ่มอาหรับ
ไม้หอมกฤษณาจากบ้านนา (Agillah Bannah) ซึ่งปัจจุบันอยู่ในจังหวัดนครนายก ชนิดนี้พบมากแถวบริเวณกัมพูชา แต่ในปัจจุบัน
ไม้กฤษณาคุณภาพดีที่สุดได้จากเขาใหญ่ ซึ่งเคยมีมากแถบดงพญาไฟ ซึ่งเป็นแหล่งผลิตไม้หอม เพื่อการส่งออกมาแต่อดีต ต้นตระกูล
การหาไม้กฤษณาจะมาจากบ้านบุเกษียร ลำคลองกระตุก บุตาชุ ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันเป็นทุ่งหญ้า อยู่ในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
1.5-1.8 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทรงเจดีย์ต่ำๆ หรือรูปกรวย ลำต้นเปลาตรง มักมีพูพอนที่โคนต้นเมื่อมีอายุมาก เปลือกนอกเรียบ
สีเทาอมขาว เนื้อไม้อ่อนสีขาว เปลือกหนาประมาณ 5-10 มิลลิเมตร มีรูระบายอากาศสีน้ำตาลอ่อนทั่วไป เปลือกนอกจะปริเป็นร่อง
เล็กๆ เมื่อมีอายุมากๆ ส่วนเปลือกชั้นในมีสีขาวอมเหลือง
2.5-3.5 เซ็นติเมตร ยาว 7-9 เซ็นติเมตร ใบแก่เกลี้ยงเป็นมัน แต่ใบอ่อนสั้นและคล้ายไหม
หรือTerminal umbles ก้านดอกสั้น มีขนนุ่มอยู่ทั่วไป ตามง่ามใบและดอก ออกดอกในช่วงฤดูร้อน และกลายเป็นผลแก่ในประมาณ
เดือนพฤษภาคม-มิถุนายน
เซ็นติเมตร กว้างประมาณ 1.5-2 เซ็นติเมตร ในเดือนสิงหาคม ผลเริ่มแก่และจะแตกอ้า มีเมล็ด 1 หรือ 2 เมล็ด แบบ Ovoid
ขนาดของเมล็ดยาว5-6 เซ็นติเมตร มีหางเมล็ดสีแดงหรือส้ม ปกคลุมด้วยขนสั้นนิ่มมีสีแดงอมน้ำตาล
จำแนกความแตกต่างมาแต่โบราณแล้ว ดังกล่าวถึงในมหาชาติ คำหลวงสมัยอยุธยาตอนต้น พ.ศ. 2025 ว่ามีทั้งกฤษณาขาว
(เสตครู) และกฤษณาดำ (ตระคัร) ซึ่งมีเนื้อไม้หอม
เซลล์ต่างๆ ของเนื้อไม้ องค์ประกอบทางด้านเคมีของน้ำมันหอมระเหยจากกฤษณา ประกอบด้วยสารที่เป็นยางเหนียว (Resin) อยู่
มาก สารที่ทำให้เกิดกลิ่นหอม คือ Sesquiterpene alcohol มีหลายชนิด คือ Dihydroagarofuran, b. Agarofuran,
a-Agarofuran, Agarospirol และ Agarol (มีชัย, 2532)
เป็นสีน้ำตาลถึงสีดำ เรียกว่าเกิด "กฤษณา" มีราคาแพงตามความเข้มของสีกฤษณา มีการทดลองเจาะลำต้น กิ่งก้านต้นกฤษณา แล้ว
ใส่เชื้อราเข้าไป เพื่อเร่งการเกิดสารดังกล่าว แต่ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร น้ำมันที่กลั่นออกมาจากกฤษณาหอมรุนแรงมาก ใช้
ในการทำเครื่องหอม เครื่องสำอาง ทำธูป เป็นส่วนผสมยา ทำลูกประคำ และหีบใส่เครื่องเพชร ชาวอาหรับ อิสลาม นิยมจุดให้กลิ่นมาก
ปัจจุบันนี้มีการตัดชิ้นไม้กฤษณาสดมากลั่น
แก้ไข้ บำรุงโลหิต รักษาโรคปวดข้อ
เป็นไม้ที่หายาก และมีคุณค่าสูงมาก ถือเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่ง ปลูกไว้เป็นไม้ประดับได้สวยงาม แต่ควรพิจารณาพื้นที่ปลูกให้เหมาะสม
จะเป็นสีดำ มีกลิ่นหอม นิยมใช้ทางยา ถ้าท่อนใดลอยปริ่มน้ำมีสีน้ำตาลอ่อน หรือน้ำเงินเข้ม จะเป็นกฤษณาชนิดกลาง
เรียก "Neem Gharki" สำหรับท่อนที่ลอยน้ำเป็นกฤษณาชนิดเลวเรียก "Samaleh" พบอยู่ทั่วๆไป เมื่อเผาเนื้อไม้เกือบไม่มีกลิ่นหอม
สามารถหาข้อสรุปได้ ถึงเรื่องของปริมาณจำนวนแผลที่จะเกิดขึ้นต่อต้นเป็นเท่าไรและจะเกิดผลผลิตเท่าไร ทั้งนี้จะต้องอยู่ในระยะเวลา
ที่กำหนดด้วย คือยังไม่สามารถที่จะคาดการณ์ถึงผลกำไรว่าจะคุ้มค่าทางเศรษฐกิจหรือไม่ ในแง่ของการส่งเสริมคิดว่าไม่แนะนำให้ปลูก
เพราะว่าดูแลยาก จะต้องดูถึงสภาพดินและพันธุ์ไม้ด้วย อาจจะไม่คุ้มกับทุน แต่ถ้าจะปลูกแบบแซมกับต้นไม้ชนิดอื่นๆ ปลูกรอบสวน
ปลูกบังลม แล้วปล่อยให้โตเองโดยที่ไม่ต้องดูแลมาก แต่อาจจะทำให้เกิดแผลไปเรื่อยๆ ไม่ควรปลูกโดยใช้พื้นที่จำนวนมากหรือเป็นป่า
เพราะผลผลิตอาจเกิดน้อย ส่วนใหญ่มักนำเนื้อไม้ไปทำพวกกล่องเพชร ลูกประคำ คันธนู ฯลฯ แต่คุณค่าจริงๆ อยู่ที่น้ำมันกฤษณา จึง
ต้องใช้เวลานานในการปลูก เพราะฉะนั้นจึงจะต้องมีทุนจำนวนมากและมีพื้นที่
2. สำหรับเกษตรกรที่มีทุนน้อย ควรจะปลูกแบบรอบๆ สวนมากกว่า